หูดหงอนไก่ อันตรายไหม รักษาอย่างไร ?

beefhunt หาคู่

หูดหงอนไก่ ถูกจัดอันดับให้เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยที่สุด หลายคนคิดว่าโรคนี้ เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้หญิงเท่านั้น แต่ผู้ชายก็สามารถเป็นหูดหงอนไก่ได้เช่นกัน เพราะเนื่องด้วยการติดเชื้อมาจากคู่นอนนั่นเอง

หูดหงอนไก่เกิดจากสาเหตุใด ?

หูดหงอนไก่ หรือ Genital Warts มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า หูดอวัยวะเพศ หรือหูดกามโรคนั่นเอง ซึ่งจะพบบ่อยบริเวณอวัยวะเพศ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายสายพันธุ์ เช่น สายพันธ์ุที่ 16, 18, 31, 33 จะเป็นชนิดที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก สายพันธุ์ที่ 6, 11, 42, 43 จะเป็นชนิดที่ไม่สัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็ง เป็นต้น

หูดหงอนไก่ติดต่อได้ผ่านช่องทางใด

  • การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่สวมถุงยางอนามัย
  • มีคู่นอนที่มีเชื้อหูดหงอนไก่
  • การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันกับผู้ให้บริการทางเพศ
  • ถูกล่วงละเมิดทางเพศ
  • ติดจากแม่สู่ลูก (พบได้จำนวนน้อย)

นอกจากนี้ หากมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย หรือผู้ชายที่ยังไม่ได้ขริบหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ ก็จะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหูดหงอนไก่นี้มากขึ้นด้วยครับ

ระยะฟักตัวของเชื้อหูดหงอนไก่

เมื่อได้รับเชื้อเอชพีวีมาแล้ว ในตอนแรกอาจจะยังไม่มีอาการใด ๆ เลย จนผ่านระยะเวลาประมาณ 1 เดือนขึ้นไป จนถึง 2 ปี ไวรัสจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เกิดเป็นเนื้องอกนูนออกมา มีลักษณะเป็นติ่งเนื้อสีชมพูอ่อนหรือสีเนื้อ ผิวไม่เรียบ ซึ่งตอนแรกจะเริ่มจากรอยเล็ก ๆ แล้วค่อยขยายขนาดลุกลามอย่างรวดเร็ว จนคล้ายหงอนไก่หรือดอกกะหล่ำ บริเวณปากช่องคลอด แคมคลิตอริส ผนังช่องคลอด หรือปากมดลูกในผู้หญิง แต่ผู้ชายจะพบหูดหงอนไก่ บริเวณหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ ลำองคชาติที่ขริบแล้ว หรือรอบทวารหนัก

อาการของหูดหงอนไก่

โรคหูดหงอนไก่ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ไปจนถึงเริ่มจากรอยโรคเล็กๆ แล้วขยายตัวใหญ่ขึ้น มีอาการคัน ระคายเคือง บริเวณที่เกิดหูดหงอนไก่ขึ้น โดยในผู้ชายอาจทำให้ปัสสาวะขัด ปัสสาวะไม่ออก รู้สึกแสบร้อนบริเวณอวัยวะเพศ ในผู้หญิงอาจทำให้ตกขาวผิดปกติ รู้สึกคัน มีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์

การรักษาโรคหูดหงอนไก่

หูดหงอนไก่ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และยังมีโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยถึงร้อยละ 30-70 หลังจากหยุดการรักษาไปประมาณครึ่งปี เพราะไวรัส HPV ไม่ทำให้เซลล์ตาย เชื้อจะถูกจำกัดอยู่เฉพาะในชั้นเยื่อบุ ไม่เข้าสู่กระแสเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกายจึงไม่ได้ออกมาต่อสู้กับไวรัสเหมือนโรคอื่น ๆ ในทางการแพทย์สามารถรักษาโรคนี้ได้หลายวิธี เช่น การใช้ยารักษา การผ่าตัด การจี้เย็น การจี้ร้อน การทำเลเซอร์ เป็นต้น

การใช้ยารักษาหูดหงอนไก่

ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนทำการรักษา เพื่อที่จะได้ตรวจวินิจฉัยแผลได้อย่างถูกต้อง และไม่ควรหาซื้อยามารักษาเอง เพราะอาจจะทำให้ยิ่งลุกลามหรือเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงกว่าเดิม เมื่อไปพบแพทย์แล้วพบว่าเป็นโรคหูดหงอนไก่จริง ๆ แพทย์จะเริ่มทำการรักษา ด้วยการนัดผู้ป่วยให้มาทายาทุก ๆ 1 สัปดาห์ โดยหลังจากทายาเสร็จแล้ว ไม่ควรให้แผลหูดหงอนไก่โดนน้ำ อย่างน้อย 4-6 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น แนะนำว่าให้เข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยก่อนการรักษาครับ

ยาที่แพทย์ใช้มีหลายชนิด ได้แก่ โพโดฟีโลทอกซิน ยานี้อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง เป็นแผล และรู้สึกปวด หากเข้าสู่กระแสเลือด อาจทำให้เส้นประสาทอักเสบชาตามตัว เม็ดเลือดขาวต่ำและเกล็ดเลือดต่ำ สารละลายกรดเข้มข้น (80-90% Trichloroacetic acid) ออกฤทธิ์โดยทำให้โปรตีนในเชลล์เสื่อมสภาพเป็นเซลล์ตาย หูดที่มีก้านมักหลุดออกไปภายใน 2-3 วัน ทำให้เกิดผิวหนังระคายเคืองเป็นแผลเลือดออกได้

นอกจากนี้ยังมียาที่แพทย์จะจ่ายให้ผู้ป่วยทาด้วยตัวเอง ได้แก่

  • ยาอิมิควิโมด (5%Imiquimod/Aldara) ทา 3 ครั้ง/สัปดาห์ แต่ไม่ควรเกิน 16 สัปดาห์ คุณสมบัติของยานี้ จะไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันเฉพาะที่ ให้ร่างกายกำจัดไวรัสเอชพีวีด้วยตัวเอง ข้อเสีย คือ อาจทำให้เกิดผื่นแดงได้ไม่ต้องตกใจหรือกังวลให้ทายาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะครบระยะเวลาที่แพทย์สั่ง
  • ยาโพโดฟิลอก (Podofilox 0.5%) เป็นยาที่ใช้ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์ ทาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 3 วัน แล้วเว้น 4 วัน แต่ไม่ควรเกิน 4 รอบ ผลข้างเคียงของยาอาจทำให้เกิดการระคายเคืองบริเวณแผลเล็กน้อย

ป้องกันหูดหงอนไก่ได้อย่างไร

  • ตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำทุกปี
  • หมั่นสังเกตอวัยวะเพศของตัวเองเพื่อหารอยโรค
  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • มีคู่นอนคนเดียว หรือไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
  • หากตรวจพบโรค ควรชวนคู่นอนของตนเองไปตรวจ และรักษาพร้อมกัน
  • ฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี (HPV) ชนิดสายพันธุ์ 4
  • ขริบอวัยวะเพศชาย ช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อกามโรคทุกชนิด
  • หมั่นตรวจเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ถึงแม้ว่า โรคหูดหงอนไก่นี้ จะไม่รุนแรงถึงขั้นต้องล้มหมอนนอนเสื่อ แต่ก็เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของคนเรามากพอสมควร ต้องเสียเวลาในการรักษา รวมทั้งยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น เราควรตระหนักถึงความสำคัญในการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง และฉีดวัคซีนไวรัส HPV ชนิด 4 สายพันธุ์หลักให้อุ่นใจไว้ว่าคุณจะห่างไกลจากโรคนี้ได้ครับ

อ่านบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Search