ฝีดาษวานร เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสในตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคฝีดาษ แม้ว่าจะมีความรุนแรงน้อยกว่า แต่ก็ยังเป็นโรคที่ต้องให้ความสำคัญและเฝ้าระวัง โรคนี้ถูกค้นพบครั้งแรกในลิงทดลองเมื่อปี พ.ศ. 2501 ที่สถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในเดนมาร์ก จึงได้รับชื่อว่า “ฝีดาษวานร” อย่างไรก็ตาม การตั้งชื่อนี้อาจทำให้เข้าใจผิดได้ เนื่องจากสัตว์ฟันแทะ เช่น หนูและกระรอก มักเป็นพาหะหลักของโรคนี้มากกว่าลิง
ประวัติและการระบาด
Table of Contents
ฝีดาษวานร ถูกค้นพบในมนุษย์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2513 ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (ในขณะนั้นเรียกว่า สาธารณรัฐซาอีร์) โดยพบในเด็กชายอายุ 9 ขวบ หลังจากนั้น มีการรายงานการระบาดในหลายประเทศในทวีปแอฟริกาตะวันตกและแอฟริกากลาง
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การระบาดของฝีดาษวานรมักจำกัดอยู่ในทวีปแอฟริกา แต่มีบางกรณีที่พบการระบาดนอกทวีปแอฟริกา เช่น:
- ปี พ.ศ. 2546 – การระบาดในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเชื่อมโยงกับสัตว์เลี้ยงประเภทสัตว์ฟันแทะที่นำเข้าจากแอฟริกาตะวันตก
- ปี พ.ศ. 2561 – พบผู้ป่วยในสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นผู้ที่เดินทางมาจากไนจีเรีย
- ปี พ.ศ. 2565 – การระบาดในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งทำให้เกิดความตื่นตัวในวงกว้าง
สาเหตุและการแพร่กระจาย
เชื้อสาเหตุ
ฝีดาษวานรเกิดจากเชื้อไวรัส Monkeypox virus ซึ่งเป็นสมาชิกในตระกูล Orthopoxvirus การติดต่อสามารถเกิดได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับสัตว์ที่ติดเชื้อ หรือการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย
ปัจจุบันพบว่ามีสายพันธุ์ (Clade) หลักของไวรัสฝีดาษวานร 2 สายพันธุ์
- สายพันธุ์ Clade1 – มีความรุนแรงมากกว่า อัตราการเสียชีวิตอาจสูงถึง 10%
- สายพันธุ์ Clade2 – มีความรุนแรงน้อยกว่า อัตราการเสียชีวิตประมาณ 1%
การแพร่กระจาย
การติดต่อของโรคฝีดาษวานรสามารถเกิดได้หลายทาง
- การสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ที่ติดเชื้อ
- การถูกกัดหรือข่วน
- การสัมผัสกับของเหลวหรือสารคัดหลั่งจากร่างกายสัตว์
- การบริโภคเนื้อสัตว์ที่ติดเชื้อที่ปรุงไม่สุก
- การแพร่กระจายจากคนสู่คน
- การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ โดยเฉพาะผ่านรอยโรคบนผิวหนัง
- การสัมผัสสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ
- การสัมผัสกับวัตถุที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น เสื้อผ้า ผ้าปูที่นอน
อาการ ฝีดาษวานร
ระยะฟักตัว
ระยะฟักตัวของโรคฝีดาษวานรอยู่ระหว่าง 5 – 21 วัน โดยทั่วไปประมาณ 6-13 วัน ในระหว่างนี้ ผู้ติดเชื้อจะยังไม่แสดงอาการและไม่สามารถแพร่เชื้อได้
อาการเริ่มแรก ฝีดาษวานร
อาการของโรคมักเริ่มด้วยอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ได้แก่
- ไข้สูง (มักสูงกว่า 38.5°C)
- หนาวสั่น
- ปวดศีรษะรุนแรง
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- ปวดหลัง
- อ่อนเพลียอย่างมาก
- ต่อมน้ำเหลืองโต (lymphadenopathy) – ลักษณะนี้เป็นอาการที่พบได้บ่อยในฝีดาษวานร แต่ไม่พบในโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกัน เช่น อีสุกอีใส หรือฝีดาษ
ระยะผื่น
หลังจากมีไข้ประมาณ 1-3 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีผื่นขึ้น โดยมักเริ่มที่ใบหน้าก่อนแล้วกระจายไปยังส่วนอื่นของร่างกาย โดยเฉพาะแขน ขา ฝ่ามือ และฝ่าเท้า ในบางกรณี อาจพบผื่นในช่องปาก อวัยวะเพศ และดวงตา
ผื่นจะพัฒนาผ่านระยะต่างๆ ดังนี้
- ระยะตุ่มนูน (Macules) – ผื่นแดงราบเรียบ
- ระยะตุ่มนูนแดง (Papules) – ตุ่มนูนแดงขนาดเล็ก
- ระยะตุ่มน้ำใส (Vesicles) – ตุ่มน้ำใสขนาดเล็ก
- ระยะตุ่มหนอง (Pustules) – ตุ่มที่มีหนองอยู่ภายใน
- ระยะตกสะเก็ด (Scabs) – ตุ่มแห้งและตกสะเก็ด
ผื่นมักหายไปใน 2 – 4 สัปดาห์ โดยจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ในบางราย
ความรุนแรงของโรค ฝีดาษวานร
ความรุนแรงของโรคฝีดาษวานรขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- สายพันธุ์ของไวรัส
- สภาพร่างกายและภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย
- ลักษณะการสัมผัสเชื้อ
- ปริมาณเชื้อที่ได้รับ
ในกรณีที่รุนแรง อาจพบภาวะแทรกซ้อน เช่น
- ปอดอักเสบ
- การติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง
- สมองอักเสบ
- การติดเชื้อที่กระจกตา ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยฝีดาษวานรอาศัยการตรวจทางคลินิกร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ดังนี้
การตรวจฝีดาษวานรทางคลินิก
แพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกาย โดยสังเกตลักษณะของผื่นและอาการอื่นๆ รวมถึงสอบถามประวัติการสัมผัสกับสัตว์หรือบุคคลที่อาจติดเชื้อ
การตรวจ ฝีดาษวานร ทางห้องปฏิบัติการ
- การตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส
- Polymerase Chain Reaction (PCR) test – เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุด โดยตรวจจากตัวอย่างจากรอยโรคบนผิวหนัง
- การตรวจหาแอนติบอดี
- Enzyme-Linked Immunosorbent Assay (ELISA)
- Immunofluorescence Assay (IFA)
- การเพาะเชื้อไวรัส
- ทำได้จากตัวอย่างรอยโรค แต่ต้องทำในห้องปฏิบัติการที่มีความปลอดภัยสูง
- การตรวจทางจุลพยาธิวิทยา
- การตรวจชิ้นเนื้อจากรอยโรคภายใต้กล้องจุลทรรศน์
ในการวินิจฉัย แพทย์จะต้องแยกโรคฝีดาษวานรออกจากโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกัน เช่น อีสุกอีใส เริม โรคมือเท้าปาก และโรคผิวหนังอื่นๆ
การรักษาฝีดาษวานร
ยังไม่มีการรักษาจำเพาะสำหรับฝีดาษวานร การรักษาส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการและประคับประคอง ซึ่งประกอบด้วย
- การให้ยาแก้ปวดและลดไข้
- Acetaminophen (Paracetamol)
- Ibuprofen
- การให้ยาต้านไวรัส
-
- Tecovirimat (TPOXX) – เป็นยาต้านไวรัสที่ได้รับการอนุมัติสำหรับการรักษาฝีดาษ และอาจมีประสิทธิภาพในการรักษาฝีดาษวานร
- Cidofovir – ใช้ในกรณีที่มีการติดเชื้อรุนแรง
-
- การดูแลบาดแผลและป้องกันการติดเชื้อแทรกซ้อน
-
- ทำความสะอาดรอยโรคด้วยน้ำเกลือหรือยาฆ่าเชื้อเบาๆ
- ใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่หรือรับประทานในกรณีที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
-
- ป้องกันภาวะขาดน้ำ
-
- ให้ดื่มน้ำมากๆ หรือให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถดื่มน้ำได้เพียงพอ
-
- การดูแลทางจิตใจ
-
- ให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางจิตใจแก่ผู้ป่วย เนื่องจากอาการทางผิวหนังอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และสภาพจิตใจ
-
การป้องกัน ฝีดาษวานร
การป้องกันการติดเชื้อฝีดาษวานรสามารถทำได้หลายวิธี
- การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ที่อาจเป็นพาหะ
- ในพื้นที่ที่มีการระบาด ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ป่า โดยเฉพาะสัตว์ฟันแทะและลิง
- หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ป่าที่ไม่ได้ผ่านการปรุงสุกอย่างเพียงพอ
-
- การป้องกันการติดเชื้อจากคนสู่คน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อหรือได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อ
- ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือใช้เจลแอลกอฮอล์
- สวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) เมื่อดูแลผู้ป่วย
- การแยกผู้ป่วย
- ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นฝีดาษวานรควรแยกตัวจากผู้อื่นจนกว่าแผลจะหายสนิท
- บุคลากรทางการแพทย์ควรใช้มาตรการป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายเชื้อที่เหมาะสม
- การฉีดวัคซีน
- วัคซีนป้องกันฝีดาษสามารถใช้ป้องกันฝีดาษวานรได้ด้วย เนื่องจากไวรัสทั้งสองชนิดมีความใกล้เคียงกัน
- ในปัจจุบัน มีวัคซีนที่ได้รับการอนุมัติสำหรับป้องกันฝีดาษวานรโดยเฉพาะ เช่น JYNNEOS (Imvamune หรือ Imvanex)
- การฉีดวัคซีนอาจพิจารณาในกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น บุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยฝีดาษวานร หรือผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
- การให้ความรู้แก่ประชาชน
- ให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรค วิธีการแพร่กระจาย และการป้องกัน
- ส่งเสริมการปฏิบัติตามมาตรการสุขอนามัยที่ดี
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฝีดาษวานร : lovefoundation.or.th/mpox
อ่านบทความอื่นๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติม
การเข้าใจเกี่ยวกับโรค วิธีการแพร่กระจาย และการป้องกันมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมการระบาด การให้ความรู้แก่ประชาชน การเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุข และการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับฝีดาษวานรและโรคอุบัติใหม่อื่นๆ